จากอพาร์ตเมนท์ไปที่ทำงานใช้เวลาเดินสิบถึงสิบห้านาที เดินข้ามสะพานใหญ่ ฝ่าความหนาว
เดินไปคิดไป คิดเกี่ยวกับชีวิตที่ต้องข้ามสะพาน ต้องข้ามความวิบาก จนกว่าจะลอดไปถึงอีกฝั่ง ไปเจอความสุข
เดินไปคิดไป คิดเกี่ยวกับทัศนคติในชีวิต ตื่นมาวันใหม่ ถ้าทำใจเป็นบวก จะเห็นโลกสวยงามอยู่ตรงหน้าทันที
บางวันเดินไปเรื่อยๆ ไม่คิดอะไรเลย สุขใจไปอีกแบบ สุขใจเพราะหัดจดจ่อกับฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้า อย่างจริงจัง
วันนี้ทำงานเป็นวันแรกของปีนี้ เดินไปข้างหน้าพร้อมกับหอบหิ้วความหวังและความฝัน พะรุงพะรัง แต่ตั้งใจหอบ
เดินไป มองผู้คนที่เดินผ่าน ส่งยิ้มให้ จะเห็นคนหน้าเดิมๆเพราะไปทำงานและกลับบ้านเวลาเดียวกัน สนุกดี
เหมือนมีชุมชนคนเดินเท้าเป็นเพื่อนร่วมข้ามสะพาน สวนกันไป ผ่านกันมา เหมือนคนแปลกหน้าแต่ก็ไม่เชิง
ยิ้มให้กันและกันอย่างอายๆ
วันนี้สุขใจ เพราะมองย้อนกลับไป ปีที่ผ่านมา เข้าท่าดี
ได้เลือกทำสิ่งที่อยากทำ อยากทำงานใกล้ที่พัก ต้องเลือกเอาว่าจะย้ายบ้าน หรือ ย้ายที่ทำงาน
ตัดสินใจย้ายบ้านเพราะมีงานที่สนุก หาบ้านใหม่ง่ายกว่าหางาน
ได้อ่านหน้งสือเล่มโปรดหลายเล่ม หัดเขียนหนังสือ หัดดูใจตัวเอง
ได้ขี่จักรยานทางไกล ไปชมธรรมชาติ ชมความสงบ งดงาม
ได้มีโอกาสขอบคุณชีวิต ขอบคุณเพื่อน ครอบครัว และสิ่งแวดล้อม
ได้หายใจสะอาดๆ ได้กินอาหารอร่อย
ได้พยายามทำความดี
ท้ายสุด ได้เข้าโรงพยาบาลสองครั้ง โอ้โห อะไรกันนี่
สิบสองเดือนที่ผ่านมา ชีวิตมีได้ มีเสีย มีสมดุล ต้องเดินข้ามสะพานนับครั้งไม่ถ้วน
อีกสิบสองเดือนข้างหน้า ชีวิตก็จะหมุนไปตามวงล้อ หมุนไปตามทัศนคติที่อยากให้เป็น
ทำงานเสร็จเดินกลับบ้านวันนี้ อดคิดไม่ได้ว่า คงไม่มีใครอธิบายความหนาวได้ดีเท่าคนที่มาจากเมืองร้อน
คงไม่มีใครเข้าใจความคิดถึงบ้านได้ดีเท่ากับคนที่จากบ้านมาไกลๆ
แต่ในใจก็อดคิดอีกไม่ได้ว่า ถ้าไม่มีความหนาว ความร้อนจะขาดประโยชน์
ชีวิตต้องมีด้านตรงข้าม ต้องมีหัวใจที่เปิดกว้างรับความแตกต่าง
หัดรู้ ให้เห็นแจ้ง หัดคิดให้เห็นจริง หัดใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์
เดินมาถึงสี่แยกไฟเขียวส่งสัญญาณใหเดินข้ามไปสู่สะพาน ทอดยาวไปในชีวิตอีกครั้ง
No comments:
Post a Comment