ประสบการณ์อันแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันกระตุ้นให้คิด เขียน เขียนแล้วก็คิดอีกครั้ง และ เขียน
ดังที่ Anais Nin บรรยายไว้ว่า “we write to heighten our own awareness of life…we write to taste life twice, in the moment and in retrospection….when I don’t write I feel my world shrinking. I feel I lose my fire, my color.”
การเขียนสร้างสะพานเชื่อมระหว่างเหตุการณ์ให้มีความหมาย ให้เกิดการเรียนรู้ ช่วยให้รู้สึกผูกพันกับภาษาแม่ และฉุดให้สมองเร่งขบคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในต่างแดนอย่างมีสีสัน สารพันมิติ
การเขียนทำหน้าที่คล้ายการเดินขึ้นลงบันได ลากอารมณ์อันขมขื่นให้กระจายไปสู่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายไม่ให้จมอยู่กับความคิดในแง่ลบ และช่วยดึงอารณ์ดีๆ ในวันที่อากาศดีกลับมาให้เป็นรางวัลแห่งชีวิต เดินไป ไต่มา คล้ายเป็นตัวเร่งปฎิกิริยา ไต่ขึ้น และ ลงไปอย่างต้วมเตี้ยมตามเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยในการใช้ชีวิตที่อเมริกาในแต่ละวัน
ในขณะเดียวกันการเขียนก็ ทำหน้าที่คล้ายสะพานเชื่อมเส้นทางที่วกวนให้เวียนเข้าหากัน คนที่เดินอยู่บนสะพานนี่แหละ ต้องคิดหนักๆ และคิดให้ดีๆ ว่าจะเดินไปทางไหนต่อ ทางไหนที่จะมีบันไดต่อให้ หรือ ทางไหนที่จะทำให้เดินไปพบเส้นทางใหม่ ที่มักจะคิดว่าดีกว่า ทางไหนที่จะนำไปสู่ทางลัด และโยงไปสู่จุดหมาย ซึ่งตัวเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าคืออะไร และอยู่ที่ไหน บางทีคิดมากเกินไป กลับเดินไปทางเก่า อย่างไม่ได้ตั้งใจ และชีวิตที่เดินต้านลมมักจะเป็นเช่นนี้
No comments:
Post a Comment